- คลื่นกล (Mechanical Wave )
คำว่าคลื่นตามคำจำกัดความ หมายถึง การรบกวน (disturbance) สภาวะสมดุลทางฟิสิกส์
และการรบกวนนั้นจะเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งออกไปยังอีกจุดหนึ่งได้ตามเวลาที่ผ่านไป ในบทนี้จะกล่าวถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ของคลื่นในทางฟิสิกส์
- การแบ่งประเภทของคลื่น
1.คลื่นตามขวาง
(transverse wave) ลักษณะของอนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ในทิศตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
เช่น คลื่นผิวน้ำ คลื่นในเส้นเชือก
คลื่นตามขวาง
2. คลื่นตามยาว
(longitudinal wave) ลักษณะอนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ไปมาในแนวเดียวกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
เช่น คลื่นเสียง
คลื่นตามยาว
- ส่วนประกอบของคลื่น
1.สันคลื่น (Crest) เป็นตำแหน่งสูงสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางบวก
จุด g
2.ท้องคลื่น (Crest) เป็นตำแหน่งต่ำสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางลบ
จุด e
3.แอมพลิจูด (Amplitude) เป็นระยะการกระจัดมากสุด ทั้งค่าบวกและค่าลบ
วัดจากระดับปกติไปถึงสันคลื่นหรือไปถึงท้องคลื่น สัญลักษณ์ A
4.ความยาวคลื่น (wavelength) เป็นความยาวของคลื่นหนึ่งลูกมีค่าเท่ากับระยะระหว่างสันคลื่นหรือท้องคลื่นที่อยู่ถัดกัน
หรือระยะระหว่าง 2 ตำแหน่งบนคลื่นที่ที่เฟสตรงกัน (inphase) ความยาวคลื่นแทนด้วยสัญลักษณ์
Lamda มีหน่วยเป็นเมตร (m) ระยะ xy
5.ความถี่ (frequency) หมายถึง จำนวนลูกคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใด ๆ ในหนึ่งหน่วยเวลา
แทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาที (s-1) หรือ เฮิรตซ์
(Hz) จาก cd โดย f = 1/T
6.คาบ (period) หมายถึง ช่วงเวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใด ๆ ครบหนึ่งลูกคลื่น
แทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นวินาทีต่อรอบ (s/รอบ ) โดย T
= 1/f
7.หน้าคลื่น (wave
front) เป็นแนวเส้นที่ลากผ่านตำแหน่งที่มีเฟสเดียวกันบนคลื่น
เช่นลากแนวสันคลื่น หรือลากแนวท้องคลื่น ตามรูป
รูปหน้าคลื่นตรง
รูปหน้าคลื่นวงกลม
รูปแสดงหน้าคลื่นต้องตั้งฉากกับรังสีคลื่นเสมอ
- อัตราเร็ว
อัตราเร็วในเรื่องคลื่น แบ่งได้ดังนี้
1.อัตราเร็วคลื่น หรือเรียกว่าอัตราเร็วเฟส เป็นอัตราเร็วคลื่นที่เคลื่อนที่ไปแบบเชิงเส้น
ซึ่งอัตราเร็วคลื่นกลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่าน
สมการที่ใช้
สมการที่ใช้
2.อัตราเร็วของอนุภาคตัวกลาง
เป็นการเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์มอนิก โดนสั่นซ้ำรอยเดิมรอบแนวสมดุล
ไม่ว่าจะเป็นคลื่นกลชนิดตามขวางหรือตามยาว
สมการที่ใช้
1.อัตราเร็วที่สันคลื่นกับท้องคลื่น
เป็นศูนย์
2.อัตราเร็วอนุภาคขณะผ่านแนวสมดุล
มีอัตราเร็วมากที่สุด
3.อัตราเร็วอนุภาคขณะมีการกระจัด y
ใดๆ จากแนวสมดุล
3. อัตราเร็วคลื่นในน้ำ ขึ้นกับความลึกของน้ำ ถ้าให้น้ำลึก d จะได้ความสัมพันธ์
4. อัตราเร็วคลื่นในเส้นเชือก ขึ้นอยู่กับแรงตึงเชือก (T) และค่าคงตัวของเชือก (u)
ซึ่งเป็นค่ามวลต่อความยาวเชือก
การศึกษาวีดีโอ :
1. วีดีโอเปรียบเทียบคลื่นตามขวาง กับคลื่นตามยาว
1. วีดีโอเปรียบเทียบคลื่นตามขวาง กับคลื่นตามยาว
2. คลื่นผิวน้ำ
เรือกับคลื่นยักษ์กลางทะเล
การเกิดคลื่นและการเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์มอนิก
การถ่ายโอนพลังงานของคลื่นกล
อนุภาคตัวกลางจะเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์มอนิกอย่างง่าย ซ้ำรอยเดิมรอบจุดสมดุล ไม่ได้เคลื่อนที่ไปพร้อมกับคลื่น
การเคลื่อนที่ของอนุภาคตัวกลางแบบนี้เราจะเขียนแทนการเคลื่อนที่ของคลื่นแบบรูปไซน์
( sinusoidal wave ) ซึ่งเราสามารถหาค่าปริมาณต่าง ๆ
ได้ ดังนี้
ได้ ดังนี้
รูปแสดงการเคลื่อนที่ของอนุภาคตัวกลางขณะการเคลื่อนที่
ลักษณะการเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์มอนิกอย่างง่าย
1.เป็นการเคลื่อนที่แบบสั่นหรือแกว่งกลับไปกลับมาซ้ำรอยเดิมโดยมีการกระจัดสูงสุดจากแนวสมดุล
(แอมพลิจูด) คงที่
2.เป็นการเคลื่อนที่ที่มีความเร่งและแรงแปรผันโดยตรงกับขนาดของการกระจัด แต่มีทิศทางตรงข้ามกันเสมอ (แรงและความเร่งมีทิศเข้าหาจุดสมดุล แต่การกระจัดมีทิศพุ่งออกจากจุดสมดุล)
3.ณ ตำแหน่งสมดุล x หรือ y = 0 , F = 0 , a = 0 แต่ v มีค่าสูงสุด
4.ณ ตำแหน่งปลาย x หรือ y , F , a มีค่ามากที่สุด แต่ v = 0
5.สมการการเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอนิก
1.เป็นการเคลื่อนที่แบบสั่นหรือแกว่งกลับไปกลับมาซ้ำรอยเดิมโดยมีการกระจัดสูงสุดจากแนวสมดุล
(แอมพลิจูด) คงที่
2.เป็นการเคลื่อนที่ที่มีความเร่งและแรงแปรผันโดยตรงกับขนาดของการกระจัด แต่มีทิศทางตรงข้ามกันเสมอ (แรงและความเร่งมีทิศเข้าหาจุดสมดุล แต่การกระจัดมีทิศพุ่งออกจากจุดสมดุล)
3.ณ ตำแหน่งสมดุล x หรือ y = 0 , F = 0 , a = 0 แต่ v มีค่าสูงสุด
4.ณ ตำแหน่งปลาย x หรือ y , F , a มีค่ามากที่สุด แต่ v = 0
5.สมการการเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอนิก
คลื่นรูปไซน์ แสดงการกระจัด y และเฟส
6. กรณีที่มุมเฟสเริ่มต้นไม่เป็นศูนย์
สมการความสัมพันธ์ของการกระจัด ความเร็ว และความเร่ง กับเวลาอาจเขียนได้ว่า

7. การเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอนิกของ
สปริง และลูกตุ้มนาฬิกา
8.
ลักษณะการเคลื่อนที่ของคลื่นขณะเวลาต่าง
ๆ ( เมื่อ period
หรือ คาบ
หมายถึงเวลาครบ 1 รอบ)
9. การบอกตำแหน่งบนคลื่นรูปไซน์ ด้วย เฟส (phase) เป็นการบอกด้วยค่ามุมเป็นเรเดียน หรือองศา
เฟสตรงกันบนคลื่น จะห่างจากตำแหน่งแรก 1 Lamda , 2 Lamda , 3 Lamda , .....
เฟสตรงกันข้ามกันบนคลื่น จะห่างจากตำแหน่งแรก 1/2
Lamda , 3/2 Lamda , 5/2 Lamda , ....
ตัวอย่าง
การซ้อนทับกันของคลื่น
เมื่อคลื่น 2 ขบวนผ่านมาในบริเวณเดียวกัน มันจะรวมกัน โดยอาศัยหลักการซ้อนทับของคลื่น
( Superposition principle) การซ้อนทับกันมี 2 แบบ คือแบบเสริม และแบบหักล้าง
1. การซ้อนทับแบบเสริม เกิดจากคลื่นที่มีเฟสตรงกัน เข้ามาซ้อนทับกัน เช่น สันคลื่น+ สันคลื่น หรือท้องคลื่น+ท้องคลื่น ผลการซ้อนทับทำให้แอมปลิจูดเพิ่มขึ้นมากที่สุด เท่ากับผลบวกของแอมปลิจูด คลื่นทั้งสอง
เมื่อคลื่น 2 ขบวนผ่านมาในบริเวณเดียวกัน มันจะรวมกัน โดยอาศัยหลักการซ้อนทับของคลื่น
( Superposition principle) การซ้อนทับกันมี 2 แบบ คือแบบเสริม และแบบหักล้าง
1. การซ้อนทับแบบเสริม เกิดจากคลื่นที่มีเฟสตรงกัน เข้ามาซ้อนทับกัน เช่น สันคลื่น+ สันคลื่น หรือท้องคลื่น+ท้องคลื่น ผลการซ้อนทับทำให้แอมปลิจูดเพิ่มขึ้นมากที่สุด เท่ากับผลบวกของแอมปลิจูด คลื่นทั้งสอง
การซ้อนทับกันของคลื่น
แบบเสริม
2.
การซ้อนทับแบบหักล้าง เกิดจากคลื่นที่มีเฟสตรงกันข้าม เข้ามาซ้อนทับกัน
เช่น สันคลื่น+ ท้องคลื่น ผลการซ้อนทับทำให้แอมปลิจูดลดลง
เท่ากับผลต่างของแอมปลิจูด คลื่นทั้งสอง
การซ้อนทับกันของคลื่น
แบบหักล้าง
ภาพเคลื่อนไหวการซ้อนทับกันของคลื่นแบบเสริม
- การถ่ายโอนพลังงานของคลื่นกล
- คลื่น (wave)
เป็นกระบวนการถ่ายโอนพลังงานจากแหล่งกำเนิดคลื่นออกไป
โดยใช้คลื่นเป็นตัวถ่ายทอดพลังงาน
แต่อนุภาคตัวกลางที่คลื่นผ่านไม่ได้เคลื่อนที่ไปพร้อมคลื่น
แต่มีการสั่นรอบจุดสมดุลแบบซิมเปิลฮาร์มอนิก
- ชนิดของคลื่น
(ก) คลื่นตามขวางและคลื่นตามยาว เราแบ่งชนิดคลื่นตามลักษณะการสั่นของอนุภาคของตัวกลางได้ 2 แบบคือ
1. คลื่นตามขวาง (Transverse wave) ถ้าพิจารณาการเคลื่อนที่ของอนุภาคในเส้นเชือก จะเห็นว่าอนุภาคมีการเคลื่อนที่ขึ้นลงตามแนวดิ่ง ขณะที่คลื่นในเส้นเชือกเคลื่อนที่ไปตามแนวราบ เราเรียก การเคลื่อนที่ของ คลื่นในลักษณะที่อนุภาคมีทิศการสั่นตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ของคลื่น ว่า
คลื่นตามขวาง เช่น คลื่นแสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
ภาพเคลื่อนไหวแสดงคลื่นตามขวาง
2.
คลื่นตามยาว (Longitudinal wave) ถ้าเรานำสปริงยาวๆมาวางตามแนวนอน
ใช้มือตีสปริงที่ปลายข้างหนึ่ง
จะทำให้เกิดคลื่นที่มีช่วงอัดและช่วงขยายสลับกันและเคลื่อนที่ไปตามแนวแกนของสปริง
ซึ่งแสดงไว้ในรูป
คลื่นที่เกิดขึ้นในสปริงเคลื่อนที่ไปทางขวามือโดยที่แต่ละขดของสปริงมีการสั่นตามแนวแกนของสปริง
ตัวอย่างคลื่นตามยาว เช่น คลื่นในสปริง คลื่นเสียง
แสดงคลื่นตามยาวในสปริง
(ข)
คลื่นกลและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราแบ่งชนิดของคลื่นตามการใช้และไม่ใช้ตัวกลางได้
2 แบบ
1. คลื่นกล (Mechanical wave) เป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการถ่ายโอนพลังงานจึงจะทำให้คลื่นแผ่ออกไปได้
ได้แก่คลื่นน้ำ คลื่นใน
เส้นเชือก คลื่นเสียง คลื่นแผ่นดินไหว เป็นต้น
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic wave) เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการถ่ายโอนพลังงาน เช่นแสง คลื่นวิทยุ เป็นต้น
เส้นเชือก คลื่นเสียง คลื่นแผ่นดินไหว เป็นต้น
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic wave) เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการถ่ายโอนพลังงาน เช่นแสง คลื่นวิทยุ เป็นต้น
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
(ค) คลื่นดล และคลื่นต่อเนื่องเราแบ่งชนิดของคลื่นตามลักษณะการเกิดได้ 2 แบบ
1. คลื่นดล (Pulse wave) คือ คลื่นที่เกิดจาการสั่นของแหล่งกำเนิดในช่วงสั้นๆ เช่น 1 - 2 ลูก
2. คลื่นต่อเนื่อง (Continuous wave) คือ คลื่นที่เกิดจาการสั่นของแหล่งกำเนิดอย่างต่อเนื่อง
1. คลื่นดล (Pulse wave) คือ คลื่นที่เกิดจาการสั่นของแหล่งกำเนิดในช่วงสั้นๆ เช่น 1 - 2 ลูก
2. คลื่นต่อเนื่อง (Continuous wave) คือ คลื่นที่เกิดจาการสั่นของแหล่งกำเนิดอย่างต่อเนื่อง
- คลื่นผิวน้ำ
คลื่นน้ำเกิดจากการรบกวนแหล่งกำเนิด
คลื่นที่เกิดขึ้นจะ่แผ่กระจายไปบนผิวน้ำ โดยน้ำเป็น ตัวกลาง
พิจารณาที่ผิวน้ำเมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งคาบ
ผิวน้ำจะเคลื่อนที่ขึ้นลงโดยโมเลกุลน้ำจะเคลื่อนที่วนเป็นวงกลมแนวดิ่งได้หนึ่งรอบ
และถ้าคลื่นไม่มีการสูญเสียพลังงาน แอมพลิจูดของคลื่นจะมีค่าคงตัว จึงกล่าวได้ว่า
ผิวน้ำมีการเคลื่อนที่แบบ ฮาร์มอนิกอย่างง่ายครบหนึ่งรอบพอดี โดย
ณ เวลาหนึ่งผิวน้ำจะอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่งของรอบ จึงเรียกว่า เฟสของคลื่น
รูปแสดงการเคลื่อนที่ของโมเลกุลผิวน้ำ
ขณะคลื่นเคลื่อนที่ผ่านไป
ภาพเคลื่อนไหวแสดงการเคลื่อนที่ของโมเลกุลผิวน้ำ
ขณะคลื่นเคลื่อนที่ผ่านไป
เมื่อผิวน้ำเคลื่อนที่ครบหนึ่งรอบ
คลื่นผิวน้ำจะเคลื่อนที่ผ่านไปได้หนึ่งลูก หรือได้ระยะทางเท่ากับหนึ่งความยาวคลื่น
ถ้าคลื่นผิวน้ำมีความถี่ f ดังนั้นใน
1 วินาที คลื่นผิวน้ำจะเคลื่อนที่ได้ระยะทาง f
ซึ่งก็คือ อัตราเร็วคลื่น v
จึงได้สมการการเคลื่อนที่ของคลื่น


สมการอัตราเร็วคลื่นในแนวเส้นตรง
หรือเรียกว่าความเร็วเฟส คือ อัตราเร็วของคลื่นผิวน้ำ
ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ
- คลื่นในเส้นเชือก
คลื่นในเส้นเชือก เป็นคลื่นกลโดยอาศัยเชือกเป็นตัวกลาง
เกิดขึ้นเมื่อมีการสะบัดหรือทำให้ปลายเชือกเกิดการสั่น พลังงานจะถ่ายทอดไปใน
เส้นเชือกในรูปของคลื่นตามขวาง โดยที่ตัวกลางจะสั่นขึ้นลงแบบซิมเปิลฮาร์มอนิก
เส้นเชือกในรูปของคลื่นตามขวาง โดยที่ตัวกลางจะสั่นขึ้นลงแบบซิมเปิลฮาร์มอนิก
ภาพแสดงการทำให้เกิดคลื่นในเส้นเชือก
- ลักษณะของคลื่นในเส้นเชือก
1. ความถี่ของคลื่นจะเท่ากับความถี่ของการสั่นที่ปลายเชือก
2. แอมปลิจูดของคลื่นจะแสดงถึงพลังงานของคลื่น
โดยแอมปลิจูดสูง พลังงานจะมาก
3. อัตราเร็วคลื่นในเชือก
ขึ้นอยู่กับแรงตึงในเส้นเชือก หาได้จาก
ข้อสังเกต
จากสมการ จะเห็นว่า อัตราเร็วคลื่นในเชือกจะแปรผันตรงกับรากที่สองของแรงตึงในเส้นเชือก
จากสมการ จะเห็นว่า อัตราเร็วคลื่นในเชือกจะแปรผันตรงกับรากที่สองของแรงตึงในเส้นเชือก
- การซ้อนทับกันของคลื่น
รูปแสดงการซ้อนทับกันของคลื่นสีเขียวกับคลื่นสีแดง
ได้ผลการสะท้อนเป็นสีน้ำเงิน
การกระจัดของคลื่นใหม่ที่เกิด
ณ ตำแหน่งต่างๆเป็นผลบวกของการกระจัดของคลื่นทั้งสองที่ตำแหน่งนั้น
(บวกกันแบบเวกเตอร์) ซึ่งมีผลให้แอมพลิจูดของคลื่นใหม่ =
ผลรวมของแอมพลิจูดของคลื่นทั้งสอง
ผลการซ้อนทับกันของคลื่นมี
2 แบบ
1) การรวมกันแบบเสริม เป็นการรวมกันชนิดที่ทำให้การ กระจัดของคลื่นลัพธ์(คลื่นลูกใหม่)มีค่ามากขึ้นซึ่งเกิดจากคลื่นทั้งสองมีการกระจัด
ทิศเดียวกันมารวมกัน อาจเป็นการกระจัดบวกของทั้งสองคลื่น หรืออาจเกิดจากการกระจัดที่เป็นลบ ของทั้งสองคลื่นก็ได้มีผลให้แอมพลิจูดลัพธ์เพิ่มขึ้น
2) การรวมกันแบบหักล้างกัน เป็นการรวมกันชนิดที่ทำให้การกระจัดของคลื่นลัพธ์(คลื่นลูกใหม่) มีค่าลดลง ซึ่งเกิดจากคลื่นทั้งสอง มีการกระจัดทิศตรงข้ามมารวมกัน มีผลให้แอมพลิจูดลัพธ์ลดลง
1) การรวมกันแบบเสริม เป็นการรวมกันชนิดที่ทำให้การ กระจัดของคลื่นลัพธ์(คลื่นลูกใหม่)มีค่ามากขึ้นซึ่งเกิดจากคลื่นทั้งสองมีการกระจัด
ทิศเดียวกันมารวมกัน อาจเป็นการกระจัดบวกของทั้งสองคลื่น หรืออาจเกิดจากการกระจัดที่เป็นลบ ของทั้งสองคลื่นก็ได้มีผลให้แอมพลิจูดลัพธ์เพิ่มขึ้น
2) การรวมกันแบบหักล้างกัน เป็นการรวมกันชนิดที่ทำให้การกระจัดของคลื่นลัพธ์(คลื่นลูกใหม่) มีค่าลดลง ซึ่งเกิดจากคลื่นทั้งสอง มีการกระจัดทิศตรงข้ามมารวมกัน มีผลให้แอมพลิจูดลัพธ์ลดลง
การซ้อนทับกันของคลื่นทำให้เกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง
เช่น การแทรกสอดกันของคลื่น การเกิดคลื่นนิ่ง การเกิดปรากฏการณ์บีตส์ของเสียง
เป็นต้น ซึ่งจะได้ศึกษารายละเอียดต่อไป
วีดีโอแสดงการซ้อนทับกันของคลื่นแบบเสริมกันและแบบหักล้างกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น